วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เจาะกลยุทธ์ dtac ปี 2018 จะช่วงชิงและรักษาฐานลูกค้าอย่างไรในยุคแห่งความท้าทาย


เจาะกลยุทธ์ dtac ปี 2018 จะช่วงชิงและรักษาฐานลูกค้าอย่างไรในยุคแห่งความท้าทาย

dtac เปิดต้นปี 2018 มาด้วยความท้าทายหลายอย่าง ทั้งการแข่งขันในตลาดโทรคมนาคมที่ดุเดือด เพราะตกเป็นเบอร์ 3 ของตลาดในแง่ผู้ใช้งาน นอกจากนั้น อดีตซีอีโอลาร์ส นอร์ลิ่ง ยังลาออกอย่างกะทันหันเมื่อตอนต้นปี และรวมถึงอนาคตที่ยังไม่ชัดเจนกับการประมูลคลื่น 2300MHz
ดังนั้น บทความนี้จะพาไปดูว่า dtac จะงัดไม้เด็ดอะไรออกมาต่อกรกับคู่ต่อสู้ในช่วงแรกของปี 2018 บ้าง

Brand Inside พูดคุยกับ 2 ผู้บริหารของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค
  1. คนแรกคือ ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจพรีเพด กลุ่มงานพาณิชย์  
  2. คนที่สองคือ โรจน์ เดโชดมพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจโพสต์เพด กลุ่มงานพาณิชย์
เรียกได้ว่าจะพาไปเจาะกลยุทธ์ของ dtac ทั้งแบบเติมเงินและรายเดือน ว่าพร้อมแค่ไหนที่จะช่วงชิง และรักษาฐานลูกค้าในตลาด
ก่อนอื่น ข้อมูลเบื้องต้นที่ควรรู้คือ สัดส่วนผู้ใช้งานของ dtac ขณะนี้แบ่งออกเป็น
  • ผู้ใช้แบบแบบเติมเงิน 17 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 75% ของ dtac
  • ผู้ใช้งานแบบรายเดือน 5.6 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 25% ของ dtac

กลยุทธ์ของ dtac ในการทำตลาดเติมเงิน-รายเดือน เป็นอย่างไร?

ด้วยคำถามนี้ ผู้บริหารฝั่งเติมเงิน ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจพรีเพด กลุ่มงานพาณิชย์ บอกว่า “กลยุทธ์หลักของเราคือการตอบโจทย์ pain point ของลูกค้า ถ้าถามว่าลูกค้าเติมเงินกลัวอะไร คำตอบคือ กลัวเงินหาย ในส่วนนี้เราส่งซิม Goเพลิน เข้ามาเพื่อทำให้ลูกค้ามั่นใจ ว่าเน็ตไม่รั่ว ไม่ไหล เพราะเป็นซิมที่มาพร้อมเน็ตความเร็วระดับพื้นฐานอยู่แล้ว”
“นอกจากนี้ เราต้องเข้าใจว่าลูกค้าแบบเติมเงิน ไม่ได้ต้องการเน็ตที่มีความเร็วสูง แต่สิ่งที่เขาต้องการคือเน็ตที่ใช้ได้นาน เพราะถ้าเขาต้องการเน็ตที่เน้นความเร็วเป็นหลัก เขาก็จะจ่ายเพิ่มเอง ตรงนี้คือกลยุทธ์สำคัญ”

ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจพรีเพด กลุ่มงานพาณิชย์
ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจพรีเพด กลุ่มงานพาณิชย์
ส่วนด้านของฝั่งรายเดือน โรจน์ เดโชดมพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจโพสต์เพด กลุ่มงานพาณิชย์ ระบุว่า “กลยุทธ์ของเรา คือการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะเรื่องของอินเทอร์เน็ต จะเห็นว่าเน็ตของเราทบได้  ไม่มีปัญหา ส่วนถ้าพูดถึงกลยุทธ์ที่ได้ผลในช่วงหลังมานี้คือการเปิดเบอร์สวย เบอร์มงคล เบอร์ดีปีเกิด สอดคล้องกับความเชื่อของลูกค้า ทำให้กระตุ้นการเปิดเบอร์ใหม่ถึง 135% และอย่างที่ทราบกันดีว่า บริการของเราในส่วนนี้ ลูกค้าไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเติม”

โรจน์ เดโชดมพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจโพสต์เพด กลุ่มงานพาณิชย์
โรจน์ เดโชดมพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจโพสต์เพด กลุ่มงานพาณิชย์

กลยุทธ์รักษาฐานลูกค้า

ถ้าพูดถึงการรักษาฐานลูกค้า ต้องยอมรับว่า dtac rewards คือหนึ่งในตัวเอกของเรื่อง เพราะได้รับการพูดถึงในด้านการใช้งานอย่างกว้างขวาง และที่สำคัญใช้ได้ทั้งลูกค้าแบบเติมเงินและรายเดือน
กลยุทธ์ต่อไปของสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า dtac คือการขยายบริการ dtac rewards ให้เพิ่มมากขึ้น
  • เดิมในปี 2016 – ต้นปี 2017 ร้านค้าใน dtac rewards มีอยู่ประมาณ 5,000 แห่ง
  • ต้นปี 2018 ร้านค้าใน dtac rewards มีสูงถึง 25,000 แห่ง
  • เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 20,000 แห่งในปีเดียว

“การขยาย dtac rewards ต่อจากนี้จะเป็นการขยายไปสู่เมืองใหญ่ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรองรับลูกค้าในต่างจังหวัด ตั้งเป้าร้านค้าในปี 2018 ไว้ที่ 30,000 แห่ง สิ่งที่น่าสนใจคือ dtac จะไปจับมือกับร้านค้าชื่อดังยอดนิยมในลักษณะที่เป็นร้านค้าท้องถิ่นมากขึ้น ไม่ได้มีแต่ในห้างสรรพสินค้า เนื่องจากต้องการให้ลูกค้าได้ใช้สิทธิพิเศษในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง”
ส่วนอีกหนึ่งบริการที่ใช้เพื่อรักษาฐานลูกค้า คือการปรับฐานบริการแคมเปญ “ใจดีให้ยืม” จากเดิมที่ใจดีให้ยืม 30 บาท ปรับมาเป็น 40 บาท โดยหลักแล้วก็เพื่อต่อสู้ในตลาดเติมเงินที่แข่งขันกันสูงขึ้นนั่นเอง

กลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้า

ในแง่ผู้ใช้งาน ฝั่งเติมเงินมีฐานลูกค้าที่ใหญ่กว่ารายเดือนอยู่มาก แต่ต้องยอมรับว่า นับวันฐานจะยิ่งเล็กลง เพราะถึงจุดหนึ่ง ลูกค้าจะต้องการใช้งานที่ต่อเนื่อง แล้วย้ายไปเป็นรายเดือน ถือเป็นเรื่องธรรมชาติของวงการ แต่สำหรับค่าย dtac มองว่า โจทย์สำคัญคือ “การรักษาฐาน และรายได้ เราจะไม่ยอมให้ฐานลดลงไปมากกว่านี้”
ดังนั้น กลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้าของ dtac จึงดุเดือด ศรุต หัวเรือใหญ่ฝั่งเติมเงิน เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า มี 2 บริการใหม่ที่จะใช้เพื่อดึงลูกค้าดังนี้
  1. ซิมเน็ตซิ่งคูณ 2 : ซิมตัวนี้จะขายในร้านสะดวกซื้อ 7-11 เท่านั้น กลุ่มเป้าหมายคือกลุ่มวัยรุ่นทั่วประเทศ เพราะจุดเด่นของซิมตัวนี้คือ เมื่อเปิดใช้งาน และสมัครดปรเสริมเน็ตโนลิมิต จะได้รับความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่ 2 เท่า จากเดิมความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ 1 Mbps จะปรับเป็น 2 Mbps ทันที
  2. ซื้อโปรทุกครั้ง รับโบนัสทุกครั้ง : ลูกค้าของ dtac ที่เปิดเบอร์ใหม่ เมื่อซื้อโปรเสริม จะได้โบนัสคืนในจำนวนที่ซื้อ เช่น ซื้อโปรเน็ตเสริม 50 บาท จะได้เงินคืน 50 บาททันที แต่เงื่อนไขคือ โบนัสรับได้สูงสุดเพียง 2,000 บาท และต้องซื้อโปรเสริมภายใน 60 วันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์รุกหนักในส่วนเพิ่มฐานลูกค้า ทาง dtac ตั้งเป้าไว้ว่า จะทำให้เห็นผลลัพธ์เป็นรูปธรรมภายในไตรมาสที่ 2 ของปี 2018
ส่วนฝั่งรายเดือน กลยุทธ์ที่นำมาใช้ คือการทำให้ลูกค้าต้อง “จ่ายแล้วจบ” ยกตัวอย่างเช่น หากลูกค้าใช้อินเทอร์เน็ตสูงเกินกว่าแพ็คเก็จที่ระบุไว้ ระบบจะทำการแจ้งเตือน และปิดการใช้งานส่วนเกินไว้ หากลูกค้าต้องการใช้งานเพิ่ม ต้องซื้อโปรเสริมเพิ่มตามความสมัครใจ
“ในส่วนนี้จะเป็นการขจัดปัญหาของลูกค้ารายเดือนที่มีปัญหายอดบิลสูงเกินกว่าราคาแพ็คเก็จ”

เป้าหมายฐานลูกค้าของ dtac ในปี 2018

  • เติมเงิน : จากเดิมฐานลูกค้าอยู่ที่ 17 ล้านราย เป้าหมายในปี 2018 คือการรักษาฐานลูกค้าและรายได้ให้อยู่ในระดับนี้ไม่ให้ลดลง
  • รายเดือน : จากเดิมที่มีฐานลูกค้าอยู่ที่ 5.6 ล้านราย เป้าหมายในปี 2018 คือเพิ่มฐานลูกค้าอีก 1 ล้านราย กลายเป็น 6.6 ล้านราย

ซ้าย-โรจน์ เดโชดมพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจโพสต์เพด กลุ่มงานพาณิชย์ ขวา-ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจพรีเพด กลุ่มงานพาณิชย์
ซ้าย-โรจน์ เดโชดมพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจโพสต์เพด กลุ่มงานพาณิชย์ ขวา-ศรุต วานิชพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธุรกิจพรีเพด กลุ่มงานพาณิชย์

อัพเดทก่อนเทศกาล : โปรโมชั่นต้อนรับสงกรานต์ 2018 ของ dtac

เมื่อพูดคุยถึงกลยุทธ์ภาพรวมแล้ว ตอนนี้ก็เข้าใกล้เทศกาลสงกรานต์เข้าไปทุกที คำถามก็คือ Dtac ได้เตรียมแพ็คเก็จอะไรไว้สำหรับเทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงบ้าง?
คำตอบแรกที่ได้คือ dtac เตรียมโปรโมชั่น “โปรแรงทะลุองศา” ไว้ให้สำหรับลูกค้าเติมเงิน เพราะนอกจากจะได้ใช้อินเทอร์เน็ตแล้ว ลูกค้ายังจะได้รับความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ และค่าคุ้มครองพยาบาลเป็นเวลาถึง 7 วันหลังการใช้งาน
คำตอบที่สองคือ ลูกค้าบางคนที่อาจไปเที่ยวต่างประเทศ ทาง dtac ก็มีประกันภัยให้เช่นกัน โดยมาในชื่อ “ซิม GO! อินเตอร์” ลูกค้าจะสามารถใช้ได้กับประเทศท่องเที่ยวยอดฮตอย่าญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ โดยจะมีประกันการเดินทางที่คุ้มครองมูลค่ารวมกว่า 6 แสนบาท
รายละอียดโปรโมชั่นรับสงกรานต์ 2018 ของ dtac แบบละเอียด
  1. ลูกค้าดีแทคเติมเงิน : ตั้งแต่วันที่ 4-11 เมษายนนี้ มีโปรโมชั่นซื้อเน็ต พร้อมคุ้มครองฟรีประกันเดินทางในประเทศจาก ประกัน ซันเดย์ รับสิทธิคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท และค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุสูงสุด 1,000 บาท มีระยะเวลาความคุ้มครองฟรี 7 วัน มี 2 แพ็กให้เลือก เน็ตเต็มสปีด 6 GB ราคา 99 บาท/ 7 วัน สมัครกด *104*654#  และเน็ตเต็มสปีด 9 GB ราคา 119 บาท/ 7 วัน สมัครกด *104*656#
  2. ลูกค้าดีแทครายเดือน : ชุ่มฉ่ำคลายร้อนหยุดยาวนี้กับ “โปรแรงทะลุองศา” แพ็กเสริมในราคาสุดคุ้ม ได้เน็ตเยอะ 10 GB แค่ 149 บาท และ เยอะขึ้นไปอีกแบบจัดเต็ม 15 GB แค่ 179 บาท ตลอดเดือน เม.ย. นี้ พิเศษสุดๆ สำหรับลูกค้าที่สมัครแพ็กเกจที่ราคา 99 บาทขึ้นไป พร้อมคุ้มครองฟรีประกันเดินทางในประเทศ จาก ประกัน ซันเดย์ รับสิทธิคุ้มครองกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสูงสุด 100,000 บาท และ ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุสูงสุด 1,000 บาท มีระยะเวลาความคุ้มครองฟรี 7 วัน                                  https://brandinside.asia/dtac-2018-strategy-pre-paid-post-paid/

วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2561

ส่งการบ้าน ข้อ 2 : แผนกลยุทธ์องค์กรที่เกี่ยวกับ ECT

สำนักบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ
มจพ.
https://drive.google.com/file/d/1LKIsEoJeiqgZFn72Dbctig0e7q4acpI8/view?usp=drivesdk

สิงคโปร์

https://sites.google.com/site/aseancommuinty/thekhnoloyi
https://drive.google.com/file/d/0B4UUV6C0Ni_sYkFsRXFTLW1FeE0/view

http://www.jba.tbs.tu.ac.th/files/Jba139/Article/JBA139Siriluck.pdf

บทความเกี่ยวกับการบริหารจัดระบบงาน ECT (3)

การบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโรงเรียนสาธิต
ที่มา
http://journal.nmc.ac.th/th/admin/Journal/2560Vol11No2_744.pdf

บทความที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดระบบงาน ECT (2)

กลยุทธ์การบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1

ที่มา
https://www.tci-thaijo.org/index.php/JournalGradVRU/article/view/108218/85619

บทความที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบงาน ECT (1)

สรุปแนวทางการจัดการเรียนการสอน  โดยใช้การศึกาาทางไกลผ่านดาวเทียม (DLT) ให้ได้มาตรฐาน
ดร.อนุศร หงษ์ขุนทด

แหล่งที่มา  http://krukob.com/web/1-50/

บทความเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการบริหารองค์กร ECT (2)

การใช้กลยุทธ์ Re-Positionning & Re-Branding เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันในอุตสาหกรรมผู้ให้บริการด้านโลจิสติกส์

https://docs.google.com/viewer?a=v&pid=forums&srcid=MDcwMjMxMzM4ODQ5OTM4ODU5NzIBMTU5OTk0OTc1MjA3MDU5NjQwMDUBSzhlRlRYNFEwM1VKATAuMQEBdjI&authuser=0

บทความเกี่ยวกับกลยุทธ์ในการบริหารองกรค์ ECT (1)

การพัฒนาอุตสาหกรรมขนส่งระบบราง : บทเรียนจากมาเลเซีย

http://www.logistics.go.th/en/news-article/etc-article/8847-2016-03-06

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ส่งการบ้าน ข้อ 1 : ศึกษาทฤษฎีการบริหาร



 ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ (Contingency Theory)

1. แนวคิดทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ (Contingency Theory)
          ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์นั้นเป็นแนวคิดการบริหารจัดการที่ผู้บริหารจะปฏิบัติซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หรือเป็นแนวคิดซึ่งเป็นทางเลือกของผู้บริหารในการกำหนดโครงสร้างและระบบควบคุมองค์การ โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์และลักษณะต่าง ๆ ของสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์การ หรือเป็นวิธีการที่กล่าวถึงองค์การที่มีลักษณะแตกต่างกันซึ่งต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และต้องใช้วิธีการบริหารจัดการที่แตกต่างกันด้วย
          ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์เป็นการประสมประสานแนวคิดในการบริหารจัดการที่สำคัญ
4 ประการคือ (1) แนวคิดแบบดั้งเดิม (2) แนวคิดเชิงพฤติกรรม (3) แนวคิดเชิงปริมาณ (4) แนวคิดเชิงระบบ
          ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์เริ่มมีบทบาทประมาณปลายปี ค.ศ.1960 เป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจากความคิดอิสระ ที่ว่าองค์การที่เหมาะสมที่สุดควรจะเป็นองค์การที่มีโครงสร้างและระบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และสภาพความเป็นจริงขององค์การ ตั้งอยู่บนพื้นฐานการศึกษาสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันของมนุษย์ (Humanistic Environment) ทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์และกรณีนี้มีอิสระมาก โดยมีธรรมชาติ (Natural) เป็นตัวแปรและเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดรูปแบบ กฎเกณฑ์ และระเบียบแบบแผน มีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลและสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง สภาพแวดล้อม เป้าหมายขององค์การโดยส่วนรวมและเป้าหมายของสมาชิกทุกคนในองค์การ โดยมีข้อสมมติฐานว่า องค์การที่เหมาะสมที่สุดคือ องค์การที่มีโครงสร้างและรูปแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของสังคมนั้น ๆ ซึ่งรวมถึงสภาพภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ การสนับสนุน และความต้องการของสมาชิกในองค์การนั้นด้วย บุคคลที่กำหนดชื่อทฤษฎีองค์การตามสถานการณ์ และกรณีคือ Fiedler นอกจากนั้นก็มี Woodward, Lawrence และ Lorsch ที่ได้ทำการวิจัยศึกษาเรื่องนี้
           การบริหารตามสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่ว่าไม่มีทฤษฎีหรือวิธีการทางการบริหารวิธีใดที่จะนำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์หรือไม่มีรูปแบบการบริหารแบบใดดีที่สุด การบริหารแต่ละแบบและแต่ละวิธีจะก่อให้เกิดผลแตกต่างกันตามสภาวะแวดล้อมแต่ละอย่าง การเลือกแบบใดให้เหมาะสมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เพราะแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อจำกัดอยู่ในตัว การบริหารที่มีประสิทธิภาพจะให้ความสำคัญต่อการเลือกใช้การจัดการให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ที่เกิดกับปัญหาแต่ละปัญหา มีความเชี่ยวชาญที่จะจำแนกวิเคราะห์ และแก้ไขแต่ละสถานการณ์ ซึ่งเป็นความจริงว่าปัญหาแต่ละเรื่องมีสถานการณ์แตกต่างกัน ทำให้การบริหารเป็นเรื่องที่ยากและไม่มีข้อตายตัว แนวความคิดของการบริหารตามสถานการณ์จึงถือเอาความสัมพันธ์ต่าง ๆ เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของปัจจัยในองค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนอกองค์การและความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์การ การจัดการวิธีนี้มีใช้กันในหลายองค์การ โดยพิจารณาว่า “IF-THEN” ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนั้น แล้วจึงเลือกกลวิธีที่คิดว่าเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น   การบริหารเชิงสถานการณ์ (Situational Management Theory) หรือทฤษฎีอุบัติการณ์ (Contingency Theory) การบริหารในยุคนี้ค่อนข้างเป็นปัจจุบัน ปรัชญาของการบริหารเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากการมองการบริหารในเชิงปรัชญา ไปสู่การมองการบริหารในเชิงสภาพข้อเท็จจริง เนื่องจากในปัจจุบันมนุษย์ต้องประสบกับปัญหาอยู่เสมอ
2. ความเป็นมาของทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์
          ในปี 1967 Fred E.Fiedler ได้เสนอแนวความคิดการบริหารเชิงสถานการณ์ (Situational Management Theory) หรือทฤษฎีอุบัติการณ์ (Contingency Theory) ซึ่งถือเป็นทฤษฎีการบริหารที่ขึ้นอยู่กับในเชิงสภาพข้อเท็จจริงด้วยแนวคิดที่ว่าการเลือกทางออกที่จะไปสู่การแก้ปัญหาทางการบริหารถือว่าไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุด หากแต่สถานการณ์ต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดว่าควรจะหยิบใช้การบริหารแบบใดในสภาวการณ์เช่นนั้น หลักคิดง่ายๆ ของการบริหารเชิงสถานการณ์ นั้นถือว่าการบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ และรูปแบบการบริหารที่เหมาะสม และผู้บริหารจะต้องพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด โดยเป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดและระบบเปิด และยอมรับหลักการของทฤษฎีระบบว่าทุกส่วนของระบบจะต้องสัมพันธ์ และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน คือมุ่งเน้น ความสัมพันธ์ระหว่างองค์การกับสภาพแวดล้อมขององค์การ สถานการณ์บางครั้งจะต้องใช้การตัดสินใจอย่างเฉียบขาด บางสถานการณ์ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ บางครั้งก็ต้องคำนึงถึงหลักมนุษย์และแรงจูงใจ บางครั้งก็ต้องคำนึงถึงเป้าหมายหรือผลผลิตขององค์กรเป็นหลัก การบริหารจึงต้องอาศัยสถานการณ์เป็นตัวกำหนดในการตัดสินใจ การบริหารเชิงสถานการณ์จะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลใน หน่วยงานเป็นหลักมากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงาน โดยใช้ปัจจัยทางด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย โดยเน้นให้ผู้บริหารรู้จักใช้การพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน เช่น ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ และการควบคุมงาน ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์กร หรือความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการดำเนินงานขององค์การ เป็นต้น

3. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์
          แนวความคิดทางการบริหารเชิงสถานการณ์ สามารถนำทฤษฎีของ Fiedler มาประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งทฤษฎีนี้ได้กล่าวไว้ มี 2 ลักษณะดังนี้
                   1) การศึกษารูปแบบของผู้นำที่มุ่งความสัมพันธ์ (Relationship-oriented leader) เป็นผู้นำที่มุ่งความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ผู้นำจะสร้างความไว้วางใจ ความเคารพนับถือ และรับฟังความต้องการของพนักงาน เป็นผู้นำที่คำนึงถึงผู้อื่นเป็นหลัก (Consideration)
                   2) ผู้นำที่มุ่งงาน (Task -oriented leader) เป็นผู้นำที่มุ่งความสำเร็จในงาน ซึ่งจะกำหนดทิศทางและมาตรฐานในการทำงานไว้อย่างชัดเจน มีลักษณะคล้ายกับผู้นำแบบที่คำนึงถึงตัวเองเป็นหลัก (Initiating structure style) การบริหารเชิงสถานการณ์ สามารถใช้ทุกทฤษฎีมาประกอบกับประสบการณ์ เพื่อทำให้การตัดสินใจดีที่สุด โดยเฉพาะในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันสูงเช่นปัจจุบัน นับเป็นความท้าทายและโอกาสในการใช้การบริหารเชิงสถานการณ์ในมุมของผู้บริหารที่จะพลิกวิกฤติเป็นโอกาสให้ได้ เป็นการใช้ความรู้ความสามารถทั้งศาสตร์และศิลป์ต่างๆที่มีอยู่ในตัวผู้นำท่านนั้นให้ประจักษ์ออกมาใช้ได้อย่างเต็มสมรรถภาพจริงๆที่เขามีอยู่ เพราะสถานการณ์แต่ละอย่างแตกต่างกัน ทฤษฎีกับบางสถานการณ์ก็แตกต่างกัน แล้วแต่ผู้นำแต่ละท่านจะเลือกใช้ ดังนั้นการบริหารเชิงสถานการณ์ น่าจะเป็นการใช้ความรู้ความสามารถทั้งศาสตร์และศิลป์

4. ปัญหาที่พบจากการนำทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ไปใช้ในองค์การ
          องค์การไม่ได้เหมือนกันทุกองค์การ  ปัญหามักจะเกิดขึ้นเมื่อองค์การมีการปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน
ในกรณีของการบริหารจัดการแบบวิทยาศาสตร์ และหลักการบริหารจัดการที่พยายามออกแบบองค์การทั้งหมดให้มีความเหมือนกัน อย่างไรก็ตามโครงสร้างและระบบของการทำงานในแต่ละฝ่ายนั้นก็ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในระบบการผลิตได้ทั้งหมด จำเป็นต้องปรับให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เช่น ในปัจจุบันผู้บริหารจำนวนมากออกแบบองค์การใหม่เรียกว่า องค์การแห่งการเรียนรู้ ที่จะคอยสนับสนุนให้เกิดการสื่อสารและความร่วมมือกัน ดังนั้นทุกคนจะกำหนดและร่วมกันแก้ปัญหา ทำให้องค์การสามารถดำเนินงานไปได้อย่างต่อเนื่อง มีการปรับปรุงและมีผลผลิตที่เพิ่มขึ้น แนวคิดทางการบริหารเชิงสถานการณ์ เป็นแนวคิดที่เน้นผู้บริหารให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อมในสถานการณ์ต่าง ๆ ขององค์การ ตัวแปรต่าง ๆ ในแต่ละสถานการณ์ทางการบริหารมีความแตกต่างกันไปในแต่ละองค์การ ดังนั้น ผู้บริหารควรคำนึงถึงความเหมาะสมในการตัดสินใจดำเนินงานภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์การและความพึงพอใจของพนักงาน กล่าวคือแนวคิดการบริหารเชิงสถานการณ์ย่อมมีวิถีทางที่ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมทางการบริหารที่เหมาะสมกับแต่ละองค์การไม่มีวิธีแก้ปัญหาได้ดีที่สุดวิธีเดียว หรือแก้ปัญหาด้วยวิธีเดียวกัน หากแต่มีหลากหลายวิธีในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์การ
          อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของการปฎิบัติการจะขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำของผู้บริหารในแต่ละระดับที่ต้องเลือกแบบของผู้นำที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับผู้ใต้บังคับบัญชา โครงสร้างของงาน และการใช้อำนาจหน้าที่ตามตำแหน่ง มาใช้ให้เหมาะสมกับบริบท และสถานการณ์ที่ประสบอยู่ ผู้นำจึงต้องรู้จังหวะในแต่ละสถานการณ์ การนำพาองค์การสู่ความสำเร็จท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันแปรจึงเป็นการแสดงยุทธานุภาพที่เป็นบทพิสูจน์ภาวะของผู้นำ

5. ข้อดีของทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์
          ข้อดีของทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ Sergiovanni (1980 อ้างในณัฐนิภา คุปรัตน์และประกอบ คุปรัตน์, 2525, หน้า 64) ได้สรุปข้อดีของการบริหารเชิงสถานการณ์ไว้ดังนี้
                   1) ให้แง่คิดในรูปธรรมที่ว่า ไม่มีวิธีการแบบใดดีที่สุดนั่นคือ แนวคิดที่ว่าการบริหารงานนั้นเหมือนตำรากับข้าว สามารถให้แนวคิดแนวปฏิบัติแบบหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง สองและสามดังนี้ คำตอบทางการศึกษาที่ได้ตามมาก็คือคงไม่มีวิธีใดที่จะดำเนินการได้ดีที่สุดเกี่ยวกับการบริหารหลักสูตรหรือการต่อรองค่าจ้างเงินเดือน
                   2) ให้แนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ไปเล็กน้อยเกี่ยวกับองค์ประกอบหนึ่งย่อมมีผลกระทบต่อระบบโดยทั่วไป เช่นในชุมชนที่เปลี่ยนจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรม
เป้าหมายการให้บริการของโรงเรียนก็ต้องเปลี่ยนตามความรู้ทักษะ แม้แต่ลักษณะผู้สอนผู้ให้บริการก็ต้อง
เปลี่ยนตาม ผู้บริหารตามแนวทางนี้จะต้องตื่นตัวต่อสภาพความเปลี่ยนแปลงในสังคมอยู่เสมอ
                   3) ให้การสะท้อนภาพที่แท้จริงต่อผู้บริหารว่า งานของการบริหารนั้นมันซับซ้อน การจะหาคำตอบใด ๆ แบบให้ง่าย ๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ ผู้บริหารจึงต้องเป็นผู้รู้รอบใฝ่รู้มีข้อมูลอยู่เสมอ และให้คำตอบในคำถามที่ว่าทำไมงานผู้บริหารจึงไม่มีวันสิ้นสุด ทำไมศาสตร์การบริหารจึงต้องศึกษาอยู่เสมอ

6. ข้อเสียของทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์
          ข้อเสียของทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์ Sergiovanni  (1980 อ้างในณัฐนิภา คุปรัตน์ และประกอบ คุปรัตน์, 2525, หน้า 64) ได้สรุปข้อเสียของการบริหารเชิงสถานการณ์ ไว้ดังนี้
                   1) การให้ผู้บริหารตื่นตัวต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ และตัดสินในปัญหาต่างๆ ตามสถานการณ์อาจทำให้มีคนคิดว่า การที่จะตัดสินใจในปัญหาต่าง ๆ เล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นอย่างดีแล้วจะทำให้การบริหารงานทั้งหมดดีไปเอง ข้อเสนอแนะก็คือ ในกรณีที่การตัดสินใจปัญหาปลีกย่อยจำนวนมาก ๆ ให้ถูกต้องนั้นก็สำคัญอยู่ แต่การที่จะต้องตัดสินใจในปัญหาใหญ่ ๆ หลัก ๆ ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน ผู้บริหารจำเป็นต้องมีภาพรวมของบทบาทตนเอง องค์การและสภาพแวดล้อม ภาพรวมเหล่านี้จำเป็นและเป็นแนวทางในการตัดสินในปัญหาปลีกย่อยรอง ๆ ลงมาทั้งหลาย
                   2) ทฤษฎีสถานการณ์ทำให้มองดูเหมือนว่า เป็นเรื่องไม่มีคุณค่ามาเกี่ยวข้อง องค์ประกอบอันเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม องค์การและตัวอื่น ๆ นับเป็นเหมือนสิ่งที่เราต้องตระหนักและแสดงปฏิกิริยาตอบ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้บริหารก็จะไม่ต่างอะไรไปจากบาโรมิเตอร์วัดความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศ ผู้บริหารอาจกลายเป็นเพียงผู้บริหารเพื่อการบริหาร คอยยืนอยู่บนยอดของคลื่นความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา

7. สรุปหลักการของทฤษฎีการบริหารเชิงสถานการณ์
          สามารถสรุปได้ดังนี้
                   1) ถือว่าการบริหารจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
                   2) ผู้บริหารจะต้องพยายามวิเคราะห์สถานการณ์ให้ดีที่สุด
                   3) เป็นการผสมผสานแนวคิดระหว่างระบบปิดและระบบเปิด และยอมรับหลักการของทฤษฎีระหว่างทุกส่วนของระบบจะต้องสัมพันธ์และมีผลกระทบซึ่งกันและกัน
                   4) สถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดการตัดสินใจ และรูปแบบการบริหารที่เหมาะสม
                   5) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลักมากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงาน โดยใช้ปัจจัยทางด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย
                   6) เน้นให้ผู้บริหารรู้จักใช้การพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน เช่น  ความแตกต่างระหว่างบุคคล  ความแตกต่างระหว่างระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ และการควบคุมงาน   ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์กร  ความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการดำเนินงานขององค์การ เป็นต้น
          กล่าวโดยสรุป  การบริหารเชิงสถานการณ์จะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและความต้องการของบุคคลในหน่วยงานเป็นหลัก มากกว่าที่จะแสวงหาวิธีการอันดีเลิศมาใช้ในการทำงาน โดยใช้ปัจจัยทางด้านจิตวิทยาในการพิจารณาด้วย โดยเน้นให้ผู้บริหารรู้จักใช้การพิจารณาความแตกต่างที่มีอยู่ในหน่วยงาน เช่น ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างระเบียบกฎเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ และการควบคุมงาน ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์ของบุคคลในองค์กร หรือความแตกต่างระหว่างเป้าหมายการดำเนินงานขององค์การ เป็นต้น
          องค์การที่มีประสิทธิผลในปัจจุบัน และที่ซึ่งจะยังคงมีประสิทธิผลในวันข้างหน้าด้วยนั้น จะตกอยู่กับเฉพาะองค์การที่ซึ่งมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป กลไกสำคัญที่จะช่วยให้องค์การมีประสิทธิผลจึงมิใช่อยู่ที่ความเข็มแข็งคงทนหรือปักหลักไว้แน่น หากแต่จะต้องสามารถโอนอ่อนให้สอดคล้องเข้ากับสภาพเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปด้วย สภาพการยืนหยัดอยู่รอดและเติบโตขององค์การจึงไม่ต่างกับ ต้นไผ่ที่ลู่ลมซึ่งจะโอนอ่อนตามกระแสลมพัดแรงและจะกลับมาตั้งตรงอีกเมื่อลมผ่านไป ซึ่งจะต่างกับไม้ใหญ่ที่ตั้งตรงต้านลมซึ่งจะมีโอกาสหักหรือโค่นลงได้ เพราะแรงลมดังกล่าว การรู้จักปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์จึงเป็นเรื่องที่นักบริหารทุกคนต้องตระหนักอยู่เสมอ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต เมื่อเวลาผ่านไปจึงถึงปัจจุบันทุกอย่างอาจเปลี่ยนสภาพไป หลักปฏิบัติที่เคย
ใช้ได้ดีในอดีตเมื่อมาถึงยุคปัจจุบันอาจล้าสมัยไปแล้วก็ได้





ภาพที่ 1 : ความเป็นมาของทฤษฎีเชิงสถานการณ์

                   จากภาพที่ 1  สรุปได้ว่า ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดย  Fred E. Fiedler  ในปี
ค.ศ. 1964 ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วนคือ  รูปแบบของภาวะผู้นำ และการควบคุมสถานการณ์





ภาพที่ 2 : คำจำกัดความของทฤษฎีเชิงสถานการณ์

                   จากภาพที่ 2  สรุปได้ว่า ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ของ Fiedler  ตระหนักถึงความสำเร็จของผู้นำจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์  เขาเชื่อว่าลักษณะของผู้นำทั้ง 2 แบบ ได้แก่  ผู้นำที่มุ่งงาน และผู้นำที่มุ่งความสัมพันธ์ นั้น จะเกิดประสิทธิผลก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่เหมาะสม  



ภาพที่ 3 : แบบจำลองทฤษฎีเชิงสถานการณ์ของ Fiedler

                   จากภาพที่ 3  สรุปได้ว่า ทฤษฎีเชิงสถานการณ์ของ Fiedler  มีแบบจำลองที่เกี่ยวข้องกับ
รูปแบบของภาวะผู้นำ  สถานการณ์ที่แตกต่าง  และความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบและสถานการณ์
  

ส่งการบ้าน ข้อ 2 : แผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับทบทวน 6.1 (2561-2565)

แผนกลยุทธ์ สวทช. ฉบับทบทวน 6.1 (2561-2565)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ


https://waa.inter.nstda.or.th/stks/pub/2017/20171109-nstda-strategy-plan-v61-final.pdf

วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รายละเอียดงานที่ได้รับมอบหมาย

1. ค้นคว้าทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการองค์กรสมัยใหม่
    -นักทฤ. บริหารจัดการ คือใคร, ปี ค.ศ. ที่เผยแพร่ ทฤ.นั้นชื่อว่าอะไรและสาระสำคัญคืออะไร (ค้นคว้าที่เป็นภาษาไทยอย่างน้อย 1 แหล่ง และภาษาอังกฤษ 1 แหล่ง) อย่าลืมระบุแหล่งอ้างอิงให้ชัดเจน 
    - ขั้นตอนหรือวิธีการของทฤ. มีอะไรบ้าง และจะนำไปใช้ย่างไร (How to)
    - งานวิจัยที่นำทฤ.บริหารจัดการมาใช้ในองค์กร ECT หรือ ICT (งานวิจัยในประเทศไทย 1 เรือ่ง และงานวิจัยในต่างประเทศ เป็นภาษาอังกฤษ 1 เรื่อง)
    - จะนำ ทฤ. บริหารจัดการนั้นมาประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการองค์กรทาง ECT ได้อย่างไร ยกตัวอย่างประกอบให้ชัดเจน
    - เขียนอ้างอิง ตามหลักวิชาการที่ถูกต้อง
2. ศึกษาองค์กรที่เกี่ยวข้องกับงาน ECT หรือ ICT in education
3. ฝึก SWOT Analysis ฝ่ายเทคโนโลยีการศึกษา องค์กรของตนเอง
4. ฝึกเขียนโครงการทาง ECT (หัวข้อรายละเอียดโครงการต่างๆ มีตัวอย่างอยู่บนหน้าเว็บแรก)
6. ฝึกเขียน Gantt Chart
7. ค้นคว้าบทความวิชาการ/วิจัย/แนวคิดทางการบริหารจัดการงาน ECT
    7.1 บทความวิชาการฯ ที่เป็นภาษาอังกฤษ อย่างน้อย 1 บทความ และแปล พร้อมเขียนการประยุกต์ใช้งานเพ่ิมเติมของตนเองให้ชัดเจน
   7.2 ค้นคว้าบทความวิชาการฯ ภาษาไทย อย่างน้อย 5 บทความ และใส่ลงใน Blog ของตนเอง

บทความวิชาการที่สนใจ   คลิกเข้าไปดูได้
A Framework for Developing Competencies inOpen and Distance Learning

สร้างบล็อกด้วยตนเอง (ชื่อ site)

ชื่อsite

ThanitaSukgan.blogspot.com

5 Domains of Educational Technology



Published on 
Presentation on Domains of Educational Technology. Could be used in EdTech
https://www.slideshare.net/dingard/five-domains-of-educational-technology